วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การอ่านความตีความ



1. ความเข้าใจจุดประสงค์หรือเจตนารมณ์ของผู้เขียนและความหมายของสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียน
        การแสดงเจตนาของผู้เขียนนั้นมีทั้งแสดงไว้ โดยชัดเจนและโดยซ่อนเร้น การแสดงเจตนาโดยชัดเจน ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ความคิด พิจารณามากมายนัก  การแสดงเจตนาโดยซ่อนเร้น คือ ไม่บอกเจตนาตรง ๆ กล่าวถึงเรื่องหนึ่งแต่ มีความหมายถึงสิ่งหนึ่งก็ได้  การเข้าใจความหมายของ เจตนาดังกล่าว  ผู้อ่านจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และเข้าถึงความหมายของคำและข้อความนั้น ๆ เสียก่อน

2. แนวคิดสำคัญที่ได้จากการอ่าน
         ที่ผู้เขียนอาจเสนออย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ได้  การค้นหาสารเป็นขั้นตอนสำคัญในการเข้าถึงเรื่องที่อ่าน  ซึ่งผู้อ่านต้องมีความรู้ ความสามารถในการอ่านและเข้าใจโครงสร้างของงานประพันธ์แต่ละประเภทให้ชัดเจน  การค้นหาสารำสำคัญมิใช่การแปลความหมายของถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น แต่ต้องจับเนื้อความให้ ได้ครบถ้วน  แยกแยะ  ส่วนที่เป็นความรู้  ความคิด และความรู้สึก  ส่วนใดสำคัญ  ส่วนใดสำคัญรองลงมา  รวมทั้งเสียงของคำ  มีท่วงทำนอง  ลำนำ และจังหวะเป็นอย่างไร
3. น้ำเสียงของผู้เขียนและสีสันบรรยากาศในการเขียน 
           ซึ่งอาจเป็นน้ำเสียงแสดงอารมณ์ขัน ล้อเลียน   น้ำเสียงอ่อนโยน นุ่มนวล  น้ำเสียงประชดประชัน เสียดสี เยาะเย้ย  น้ำเสียงโกรธเกรี้ยว  แสดงอารมณ์ร้อนแรง   น้ำเสียงโศกเศร้า สลดหดหู่ ว้าเหว่  น้ำเสียงปลุกเร้าใจ  น้ำเสียงเสียดาย  อาลัยอาวรณ์  น้ำเสียงชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญ   และน้ำเสียงจริงจัง เคร่งขรึม   ซึ่งบางครั้งในงานเขียนเดียวกันอาจจะ มีน้ำเสียงหลายลักษณะปะปนกัน    
ลักษณะของข้อเขียนที่ต้องใช้การอ่านแบบตีความ
     1. เป็นข้อเขียนที่ใช้คำที่มีความหมายโดยนัย หรือความหมายแฝง ซึ่งหมายถึงความหมายในเชิงเปรียบเทียบ หรือความหมายที่ชักนำความคิดให้เกี่ยวโยงไปถึงสิ่งอื่น
     2. เป็นข้อเขียนที่มีการเปรียบเทียบ  หรือใช้โวหารเชิงเปรียบเทียบ
     3. เป็นข้อเขียนที่ใช้สัญลักษณ์  หมายถึงข้อเขียนที่ผู้เขียนกล่าวถึงสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง
ขั้นตอนของการอ่านตีความ
       
       การอ่านตีความนั้น มักนำไปใช้ในงานเขียนที่มีความหมายซ่อนไว้ระหว่างบรรทัด ผู้อ่านต้อง ใส่ใจกับถ้อยคำที่ผู้เขียนเลือกสรรมาใช้ 
             1. สำรวจงานเขียนนั้นด้วยการอ่านอย่างคร่าว ๆ ว่างานเขียนนั้นเกี่ยวกับเรื่องใด เป็นร้อยแก้ว หรือร้อยกรอง หรืองานเขียนประเภทใด เช่น  เป็นคำประพันธ์  นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ กวีนิพนธ์ หรือเป็นงานเขียนสั้น ๆ แสดงคติสอนใจ

          
 2. อ่านอีกครั้งอย่างละเอียดเพื่อพิจารณาเนื้อหาว่ามีใจความสำคัญกล่าวถึงเรื่องใด มีข้อความ ส่วนใดกล่าวถึงข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นการแสดงทรรศนะของผู้เขียน ส่วนใดเป็นการแสดงอารมณ์ความรู้สึก 

           
3. วิเคราะห์ถ้อยคำ อาจมีบางคำที่มีความหมายเฉพาะ เช่นเป็นสัญลักษณ์ หรือมีถ้อยคำที่เป็น การกล่าวเชิงเปรียบเทียบ ด้วยการใช้ภาพพจน์ หรือเป็นสำนวนโวหาร เป็นคำที่มีความหมายหลายนัย ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านใช้ความหมายจากถ้อยคำในบริบทนั้นมาพิจารณาประกอบเพื่อให้เข้าใจความหมาย ได้มากชัดเจนยิ่งขึ้น

           
4. พิจารณารสของคำเพื่อประมวลหาน้ำเสียงของผู้เขียน อาจเป็นน้ำเสียงเชิงสั่งสอน น้ำเสียงแสดงการประชดประชัน น้ำเสียงแสดงความภูมิใจ ยินดี หรือเศร้าสลด เป็นต้น น้ำเสียงเหล่านี้จะสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายของผู้เขียนที่ต้องการสื่อสารมาให้ผู้อ่านพิจารณาใคร่ครวญหรือคิดคล้อยตาม

         
  5. สรุปสารที่ได้จากการตีความข้อเขียนนั้น ๆ การอ่านตีความ  ผู้อ่านจะต้องเข้าใจจุดประสงค์  สาร  และน้ำเสียงที่อยู่ในงานประพันธ์นั้น  เพื่อที่จะได้เข้าใจความคิดเห็น  ประสบการณ์  จินตนาการ ฯลฯ  ของผู้เขียนที่ส่งผ่านงานประพันธ์นั้น การอ่านตีความควรตีความทั้ง 2 ด้านควบคู่กันไป คือ ตีความด้านเนื้อหา และ ตีความด้านน้ำเสียง จึงจะทำให้เข้าใจสารนั้นได้อย่างถ่องแท้  เช่น “ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น